ในทำนองเดียวกัน ภาคประชาชนก็ยังขาดกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมองปัญหา การแก้ปัญหา ยังเป็นลักษณะแก้ผ้าเอาหน้ารอด เมื่อคนในพื้นที่หนึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา ทุกคนก็เอาอย่างกัน แบบไม่ลืมหูลืมตา ร่องรอยที่พอเหลือให้เห็นคือความล้อเหลว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาครัฐเองก็พยายามให้ประชาชนเป็นไปในแบบที่ตนเองต้องการให้ได้ โดยไม่สนใจว่าประชาชนจะคิดอย่างไร ไม่เข้าใจในความหลากหลายของพื้นที่ วิถีชีวิต หรือถ้าสอบถามรัฐเองก็มักมีคำตอบอยู่แล้ว เมื่อประชาชนคิดไม่ตรงกับรัฐ ก็มองว่าเขาโง่ คิดไม่เป็น ไม่มีวิสัยทัศน์ไปโน่น แม้ว่าวันนี้คำตอบของงานพัฒนาชุมชนบานล่าง จะอยู่ที่การใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา โดยยกพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จมาบอกเล่าต่อสังคม เช่นที่บ้านไม้เรียง แต่ถ้ามองลึกลงไปจะพบว่า บ้านไม้เรียงได้พัฒนากระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชน โดยคนในพื้นที่ ลุกขึ้นมาจัดการของตัวเอง โดยเริ่มที่เรื่องยางพารามีราคาตกต่ำ การถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนกลาง และพัฒนามาเป็นกระบวนการการแก้ปัญหาด้วยตัวของชุมชนเอง แต่ถ้ารัฐยังมองการแก้ปัญหาแบบสูตรสำเร็จ และบอกว่าต้องนี้ถึงจะใช่ โดยไม่ใช้มิติของความแตกต่าง ความหลากหลาย การเคารพความคิดเห็นของคนในพื้นที่ การแก้ปัญหาสังคม ความยากจนที่รัฐบาลทุกรัฐบาลอยากเห็น คงเป็นเรื่องที่อยู่ไกลเกินเอื้อมถึง การใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ต้องเริ่มที่ ภาครัฐต้องยอมรับความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนเสียก่อน แล้วไปหนุนเสริมการจัดกระบวนการ ที่เป็นไปเพื่อเอื้อให้พี่น้องประชาชน ลุกขึ้นมาจัดการตัวเองให้ได้ ถ้ามองขบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชนให้มีชีวิต ของเครือข่ายแผนแม่บทชุมชน ๔ ภาค มีการถอดบทเรียนการจัดทำแผนอยู่ประมาณ ๑๐ ขั้นตอน เริ่มจาก ๑. ค้นหาแกนนำและองค์กรท้องถิ่น
- สร้างทีมงานที่ริเริ่มขบวนการจัดทำแผนแม่บท และสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน - โดยใช้วิธีการทำงาน ที่ขึ้นอยู่กับคนในพื้นที่นั้น ๆ - บางพื้นที่ ที่มีแกนนำพร้อม มีองค์กร กลุ่มในพื้นที่ ที่มีศักยภาพอยู่แล้ว คงเริ่มที่นัดรวมตัวคุยกัน เมื่อคุยกันไปเรื่อย ๆ ก็จะได้ประเด็น พยายามปรับประเด็นให้ดี ไม่นานก็จะได้ทิศทางร่วม - การเริ่มควรเริ่มที่ตนเองก่อน ว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แล้วค่อย ๆ หาเพื่อน - พื้นที่ไหนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าใจบทบาทของแผนแม่บทชุมชน ก็อาจขึ้นขบวนการทำงานได้เร็วกว่าพื้นที่ ที่ขาดความพร้อม พื้นที่ไหนภาคประชาชนเข้มแข็งก็ลุกขึ้นมานำขบวน พื้นที่ไหนผู้นำท้องที่เข้มแข็งก็ออกนำขบวน แต่โดยที่สุดการเคลื่อนงานต้องเดินไปพร้อม ๆ กันทั้งภาคประชาชน ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ๒. จุดประกายความคิด
- โดยเริ่มที่วงพูดคุยเล็ก ๆ ก่อน เมื่อหลายคนมีการพูดถึง จึงเปิดประเด็นเพื่อหาคนมาทำงานร่วม นำประเด็นปัญหาต่าง ๆ วิกฤติที่เกิดขึ้นในชุมชนมาหารือกัน สร้างความหวังที่จะอยู่รอดร่วมกัน - การตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน กระตุ้นให้ชุมชนหันมาสมนใจเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น (ปัจจุบันส่วนใหญ่มักมอง เรื่องไกลตัว ชื่นชมเรื่องราวภายนอก) - ขยายแนวคิดการพึ่งพาตนเอง เมื่อได้แนวร่วมแล้ว อาจมีการทำเวทีพูดคุยกัน โดยเชิญผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องมาคุย (การทำเวทีครั้งแรกมีความสำคัญมาก ต้องช่วยกันกำหนดหลักเกณฑ์ให้ดี บนหลักการให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ๓. ศึกษาประวัติชุมชน - เพื่อดูสิ่งที่ดีดี รอบตัว ใกล้บ้าน ของดีดีในชุมชน ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชน - เกิดการรักชุมชนของตนเอง ในลักษณะเป็นเจ้าของร่วมกัน เชิดชูภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ทุกคนเห็นคุณค่า ได้แนวร่วมเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ - ช่วยกันย้อนประวัติศาสตร์ชุมชน จะทำให้เห็นทุนของชุมชนอย่างหลากหลาย ที่ซ่อนอยู่ในชุมชน - ทุนคน ทรัพยากร อาชีพ ประสบการณ์การทำงาน วัฒนธรรม วิถีชีวิต เงิน ๔. สำรวจ รวบรวมข้อมูล - กำหนดประเด็นที่อยากรู้ร่วมกัน เพื่อเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลครัวเรือน หนี้สิน การทำมาหากิน - มีเวทีพูดคุย (วงเล็ก วงใหญ่ ตัวบุคคล) แบบสอบถาม มีบันทึกการทำงานไว้ทุกครั้ง - การเก็บข้อมูลครัวเรือน ต้องทำให้ทุกครัวเรือนเห็นคุณค่าของการทำข้อมูลครัวเรือน - การใช้จังหวะ เวลา ในการจัดเก็บข้อมูลกับชุมชน มีความสำคัญ จะได้ข้อมูลที่ดี ชัดเจน มีประโยชน์ ๕. วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล - การช่วยกันดูข้อมูลที่ทุกคน ทุกครัวเรือนเก็บขึ้นมา - มาช่วยกันจัดหมวดหมู่ ทำความเข้าใจในข้อมูลที่ชัดเจน การรวบรวมข้อมูลในทุกแง่มุม แล้วนำกลับคืนมาในชุมชน - ในเวทีระดับหมู่บ้านจะได้ทิศทางการทำงานในระดับหมู่บ้าน ในเวทีระดับตำบล จะได้ทิศทางการมีส่วนร่วมของผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น - ใช้วิธีการเปิดประเด็นข้อมูล และช่วยกันหาทางออก โดยใช้หลักการที่ว่าปัญหาของใคร คนกลุ่มนั้น ต้องช่วยกันแก้ ใครถนัดงานด้านไหน มอบให้เป็นผู้รับผิดชอบงานตามที่เขาถนัด - ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงก็ใช้พลังเสริมจากภายนอก ๖.ยกร่างแผนแม่บทชุมชน - เมื่อมีข้อมูลแล้ว ทุกคนเกิดการรับรู้ร่วมกัน ขบวนการกำหนดแนวทางจะเริ่มขึ้น และมีทิศทางด้วยการกำหนดกันเอง กลายเป็นแผนงานในที่สุด - เกิดกระบวนการแก้ปัญหาแบบกลุ่มปัญหา มีเจ้าภาพ เจ้าของเรื่องราวที่แท้จริง - ได้แผนงานที่แก้ได้ในระดับตัวเองทันที - ได้แผนงานในระดับที่จัดการกันเองในระดับชุมชน - ได้แผนงานที่ต้องร่วมกับภายนอก (ท้องถิ่น ภาคีพัฒนา) - แผนงานที่ต้องอาศัยภายนอกทั้งหมด ๗. ประชาพิจารณ์แผนแม่บทชุมชน - เวทีสภาหมู่บ้าน ชุมชน ตัวแทนแต่ละกลุ่มกิจกรรมข้าร่วมด้วยช่วยกัน พิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความถูกต้องตามเจตนาของผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ - มีเวทีระดับหมู่บ้าน เวทีระดับตำบล - ความเหมาะสมในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ การจัดลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่อง กำหนด ช่วงเวลา ความเหมาะสม วิธีการที่จะทำให้แผนประสบความสำเร็จ - การแก้ระเบียบ กฎเกณฑ์ ให้เหมาะสมกับการทำงาน ๘. นำแผนไปสู่การปฏิบัติ - นำแผนไปสู่การปฏิบัติ โดยมอบให้ตัวแทนแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรมที่เขาต้องการ นำไปบริหารจัดการด้วยตนเอง - ใช้ทุนในชุมชนทุกทุนที่มีอยู่มาช่วยกัน โดยเฉพาะทุนทางสังคม บุคลากร วัฒนธรรม ประสบการณ์ วิถีชีวิต เงิน ๙. ทบทวนปรับปรุง
- ปรับปรุงได้ตลอดเวลา เมื่อนำแผนแปลงสู่การทำงาน อาจติดขัด เจอปัญหา ให้ใช้วิธีการปรับแผน โดยอาจใช้เวทีกลุ่มหรือชุมชนช่วยตัดสินใจ - การตัดสินใจยังเน้นการมีส่วนร่วมเป็นสำคัญ ๑๐. ประเมินผล สรุปบทเรียนการทำงาน
- เป็นการสรุปการทำงาน ว่าประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ว่าเป็นเพราะอะไร มีการแก้ไขแล้วเป็นอย่างไรบ้าง - ดูว่าแผนชุมชนที่นำมาปฏิบัติแล้ว ทุกคนมีความสุขหรือไม่ - ชุมชนได้อะไรบ้างกับการแก้ปัญหา ด้วยแผนชุมชน - ถอดเป็นชุดประสบการณ์ความรู้ เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานต่อไป เวทีเล็ก เวทีใหญ่ การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ความคิดเห็นที่หลากหลาย มีคุณค่าต่อการทำงาน การเคารพความคิดเห็นของกันและกัน มีความสำคัญมาก การให้กำลังใจในการทำงาน การรอคอยผลของงานอย่างอดทน การเรียนรู้ร่วมกัน มีส่วนสำคัญที่จะทำให้แผนแม่บทชุมชนมีชีวยิต ประสบความสำเร็จได้ เมื่อแผนนำไปสู่การปฏิบัติการจริง ปัญหาจะได้รับการแก้ไข ความอยู่เย็นเป็นสุข จะกลัมคืนสู่ชุมชนและสังคมไทยอย่างแน่นอน ถ้าถามว่าเมื่อไรเล่า คำตอบอยู่ที่ว่าวันนี้คุณพร้อมที่จะลุกขึ้นมาจัดการตัวเองหรือยังต่างหาก ชาติชาย เหลืองเจริญ บ้านจำรุง ๑ กันยายน ๒๕๔๘ |
หน้าแรก > มหาวิทยาลัยบ้านนอก >